เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ พ.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ ถ้าหัวใจมีธรรมะ มันมีความสุข ความสุขในหัวใจ เห็นไหม ความสุขในหัวใจไม่เหมือนกับความสุขทางโลก ความสุขทางโลกมันต้องเป็นอามิส มันต้องมีสิ่งใดตอบสนอง มันถึงมีความสุขขึ้นมาได้

แต่ความสุขของใจ อยู่เฉยๆ ก็มีความสุข ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ขอให้อยู่องค์เดียวเท่านั้นน่ะ ท่านอยู่ตัวคนเดียวมีความสุขมาก ถ้าอยู่คนเดียว เพราะอยู่คนเดียวใจมันเป็นธรรม ใจเป็นธรรมแล้วมันไม่ต้องการที่พึ่งสิ่งใดเลย

แต่ใจของเรา ใจของเรายังมีแรงปรารถนา ยังมีความต้องการ ยังมีความอยากคิดประสบความสำเร็จๆ ถ้าประสบความสำเร็จในชีวิต ประสบความสำเร็จสิ่งใด ประสบความสำเร็จแล้วมันมีความสุขของมัน ความสุขของมันคือเราตั้งเป้าหมาย เราทำประสบความสำเร็จ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยก็ตั้งความปรารถนา อธิษฐานบารมีๆ การว่าอธิษฐานบารมีทางโลกคือเป้าหมาย ถ้าเราทำสิ่งใดประสบความสำเร็จตามเป้าหมายนั้นมันก็ประสบความสำเร็จ การประสบความสำเร็จเราต้องพอใจเป็นเรื่องธรรมดา

เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาเราขวนขวายของเรา ขวนขวายของเราเพื่อความสุข ความสงบ ความระงับในหัวใจ ถ้าความสุข ความสงบระงับในหัวใจ มันสงบมันระงับได้อย่างไร ถ้ามันสงบระงับได้ ดูสิ ทางโลกที่เขาประพฤติปฏิบัติกัน เขาบอกว่าเขาปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ เขาปฏิบัติด้วยทางปัญญาๆ แต่เวลาปฏิบัติไป ความปฏิบัติของเขา สิ่งที่เขาปฏิบัติไป เขาบอกเขาใช้แนวทางสติปัฏฐาน ๔ นั้น ใช้ปัญญานั้นเป็นการปฏิบัติ มันปฏิบัติแบบโลกๆ ไง ปฏิบัติแบบความคิดของตนไง ปฏิบัติคิดแบบทางโลกไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา ใจสงบระงับเข้ามา ความที่สงบระงับเข้ามา มันปล่อยความคิดของตนเข้ามา ตัวเองจะเป็นอิสระขึ้นมา เวลาเป็นอิสระขึ้นมา เวลาใช้ปัญญาๆ ขึ้นมา ปัญญาที่มันไปแยกไปแยะในหัวใจอันนั้นน่ะ ถ้าปัญญาไปแยกไปแยะหัวใจ ภาวนามยปัญญา ปัญญาถอดถอนกิเลสไง

ถ้ามันไม่มีการถอดถอนกิเลส มันจะเอาความสุขความจริงมาจากไหน ความจริงมันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ เพราะคนเกิดมามีอวิชชาไง อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วปฏิบัติด้วยความไม่รู้ ปฏิบัติด้วยจินตนาการของตน เวลาปฏิบัติไปแล้ว สิ่งนั้นว่าเป็นความพอใจของตน ความพอใจของตน ความพอใจของตนเพราะมันมีความพอใจอันนั้น

เวลาเราทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ เราก็มีความสุขเพราะการกระทำอันนั้น นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราปฏิบัติของเราขึ้นมาโดยปัญญาๆ ของเรา ปัญญานั้นมันสูงส่งถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิเท่านั้นน่ะ ปัญญามันไปเรียบเรียงความคิดของตนให้เรียบร้อยไง กิริยาของตน มันกิริยาของใจที่มันออกไปนั่นน่ะ ไปจัดเรียงให้มันเรียบร้อยเท่านั้นน่ะ ถ้าจัดเรียงให้เรียบร้อยก็จัดให้มันมีทิฏฐิมานะ จัดให้มันอีโก้มากขึ้นอีกไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา อะไรสงบระงับเข้ามา เห็นไหม ถ้ามันเห็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความจริง เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เพราะกาย เพราะเวทนา เพราะจิต เพราะธรรมอันนั้นมันเป็นการแสดงออก มันเป็นกิริยา การเคลื่อนไหวของกิเลสที่มันอาศัยสิ่งนั้นออกไป อาศัยสิ่งนั้นออกไป เวลามันศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม มันบอกสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม มันเข้าใจตามธรรมะนั้นใช่ไหม ด้วยเหตุด้วยผลมันโต้เถียงไม่ได้ใช่ไหม มันก็หลบหลีกไง มันก็นอนจมอยู่ในใจนั้นไง มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาได้หรอก แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ความจริงขึ้นมา เวลาจิตสงบแล้วถ้ามันเห็นจริงๆ ขึ้นมามันสะเทือนตัวมันเอง มันสะเทือนตัวมันเอง

เราลูบคลำตัวเรา เราก็มีความรู้สึกใช่ไหม จิตเหมือนกัน จิตถ้ามันจับต้องสิ่งใดได้มันมีความรู้สึกของมันไง แต่นี่มันไม่มีความรู้สึกสิ่งใดๆ ไง มันปล่อยวางๆ ปล่อยวางมาเฉยๆ ปล่อยวางมาเฉยๆ มันไม่ได้จับต้องสิ่งใดไง มันปล่อยวางเฉยๆ สิ่งที่ความเข้าใจของตน ความเข้าใจของตนไง

ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นความจริงแบบนี้ ถ้าความจริงมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา สิ่งที่มีอำนาจวาสนาเขามีความรอบคอบของเขา จิตใจเขากว้างขวางของเขา ถ้าจิตใจคนคับแคบ มันคิดแต่ความพอใจของตน คิดแต่ความพอใจของตนไงว่าตนทำอย่างนี้ถูกต้องดีงามๆ ไง เวลาคนใหญ่คนโตไปไหนเขาโอ่อ่ามาก เวลาไปมองเห็นคนอื่น คนอื่นเป็นคนเล็กคนน้อยทั้งนั้นน่ะ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนมันเสมอภาคกันๆ เสมอภาคด้วยสิทธิความเป็นมนุษย์ไง

แต่ถ้าจิตใจของคนๆ จิตใจคนที่มันกว้างขวาง มันพิจารณาสิ่งใด มันค้นคว้าสิ่งใด มันกว้างขวาง มันตรวจสอบมันดูแลของมัน มันทำสิ่งใดมันอบอุ่นของมันไง ถ้าจิตใจของคนมันคับแคบ จิตใจของคนคับแคบก็ว่าแค่นั้นพอดีๆ พอดีของมัน พอดีก็พอดีของตนไง แล้วมันมีสิ่งใดเป็นความจริงล่ะ มันไม่เป็นความจริงเพราะอวิชชาความไม่รู้ไง ไม่รู้อะไรเป็นพอดีไง ถ้าไม่รู้ความพอดี ก็ว่าพอดีๆ แต่พอดีมันไม่พอดี มันพอดีของกิเลส มันไม่ใช่พอดีของธรรม

ถ้าพอดีของธรรมแล้วนะ มันแยกมันแยะ มันพิจารณาของมัน ถ้าความพอดีของธรรมนะ ถ้าความพอดีของธรรมแล้วจิตใจมันกว้างขวาง กว้างขวางการกระทำของเราไง เราเห็นคนเสมอภาคกันทั้งนั้นน่ะ ความเสมอภาคของคน สุขทุกข์ในใจของเขา เราอยู่ในสังคม สังคมเกิดมาทุกคนเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เหมือนกัน เกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน

แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีของเขา คำว่า “มีอำนาจวาสนาบารมี” นะ สิ่งใดที่ใช้สอยพอเพื่อประโยชน์ของตน ความพอเพียงเท่านั้น สิ่งนั้นๆ จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ได้ จิตใจเขากว้างขวางนะ แล้วผลล่ะ ผลก็คือเขาสงบระงับ เขาไม่ดิ้นรน เขาไม่ขวนขวาย เขาก็ไม่ต้องเหนื่อยยากมาก

แต่ไอ้คนที่ต้องการความสะสม ต้องการการที่มีมากมาย ต้องดิ้นรน ต้องสะสม ผลของมันล่ะ ผลของมันก็คือทุกข์ไง ผลของมันก็แสวงหาไง ผลของมันไม่เคยพอไง เวลามันให้ผล มันให้ผลกับความสุขความทุกข์ในใจอันนั้น

ถ้าจิตใจมันกว้างขวาง เราพอเพียงของเรา มีเท่าไรเราใช้ประโยชน์เท่านั้น แล้วมีปัญญา เราไม่แสวงหาให้มันเหนื่อยยากเกินไป แล้วสิ่งนี้ถ้ามันมีแล้วมันยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นอีก แล้วผลของมัน ผลของมันคือจิตใจมันสุขสงบ จิตใจมันสบาย จิตใจมันดีงาม อยู่ที่ไหนมันก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุขความระงับไง มีความอบอุ่นไง

แต่ถ้าจิตใจที่มันขาดแคลน จิตใจที่มันต้องการ เพราะมันต้องการ ทั้งๆ ที่มันสุมจนใช้ไม่หมดแล้ว มันสุมกองอยู่นั่น มันเหลือเฟือ แต่มันก็ยังดิ้นรนๆ ดิ้นรนด้วยความทุกข์ความยาก แล้วเอามาทำไม เอามาเป็นภาระของตน เอามาเป็นภาระของตนแล้วหัวใจมันก็ทุกข์ยาก

ถ้ามีสติปัญญา สติปัญญามันยับยั้งของมัน ยับยั้งหัวใจของเรา ถ้าจิตใจมันยิ่งใหญ่ จิตใจมันกว้างขวางขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราแล้ว ถ้าจิตใจมันคับแคบ มันก็จะแสวงหา แสวงหาสิ่งนั้นมาเติมเต็มมัน ถมไม่เคยเต็ม ใจของคนถมไม่เต็มหรอก ใจของคนเต็มไม่เคยเต็ม แต่มันจะเต็มได้ด้วยสติ ด้วยสติด้วยปัญญา มันถมเต็มได้ เราจะบ้าไปถึงไหน เราจะบ้าไปถึงไหน

ดูสิ เวลาลูกศิษย์กรรมฐาน เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านใช้ผ้า ๓ ผืน ท่านมีจีวรตัวเดียวนะ จีวรตัวหนึ่ง ๓ ปี ๔ ปี อายุการใช้งานของมัน ครูบาอาจารย์เราจีวรตัวหนึ่ง ๓ ปี ผ้าไตรชุดหนึ่ง ๓ ปี ๓ ปี ผ้าผืนเดียวห่ม ๓ ปี เพราะอะไร เพราะพระมีจีวรผืนเดียว จะงานการสิ่งใดก็จีวรผืนนั้นแหละ จะงานอะไรก็จีวรผืนนั้นแหละ เหมือนกับเรามีชุดเดียวเท่านั้นแหละ ชุดเดียวใช้ ๓ ปี ๔ ปี แต่เราใช้ไม่ได้หรอก เพราะเราทำหน้าที่การงานใช่ไหม เสื้อผ้ามันต้องมีการเปลี่ยนแปลงใช่ไหม นี่พูดถึงว่าถ้าคิดแล้วเปรียบเทียบได้

ถ้าคิดเปรียบเทียบได้ เวลาผู้ที่มาบวชใหม่ มาบวชพระ ถ้าบวชพระฉันมื้อเดียว แล้วความเป็นอยู่ของเรา ชีวิตแค่นี้ แต่เวลาสึกไปแล้ว ๕ มื้อ ๔ มื้อ ถ้ามันรู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ ชีวิตของเราไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป รู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ สิ่งใดที่ไม่เป็นความฟุ่มเฟือย ไม่มีความจำเป็น เราวางได้ แต่ถ้ากิเลสมันไม่ได้ เวลากิเลสมันต้องเทียมหน้าเทียมตาเขา จะต้องเสมอหน้าเขา

เสมอหน้าอะไร เอาอะไรมาเสมอหน้ากัน มันเสมอหัวใจนี้ ถ้าหัวใจมันเสมอนะ ของมันจะต่ำต้อยแค่ไหน หัวใจที่ผ่องแผ้ว หัวใจที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามทั้งนั้นน่ะ หัวใจมันฟอนเฟะไง ของจะดีงามขนาดไหน ของนั้นไม่มีค่าเลย มันไม่มีค่าเท่าหัวใจดวงนั้นหรอก ถ้าหัวใจมันไม่มีค่าขึ้นมา เอาอะไรมาใส่ตัวนี้มันไม่มีค่าไปทั้งหมด ไม่มีค่าเพราะอะไร เพราะมันหิวโหยไง ไม่มีค่าเพราะมันทุกข์มันยากไง

แต่ถ้าจิตใจมันดีงามขึ้นมา ของที่มันต่ำต้อยขนาดไหนมันมีค่าทั้งนั้นน่ะ มันมีค่าเพราะใจดวงนั้นไง ใจดวงนั้นมีค่าไง เราฝึกหัวใจของเราไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเข้ามาที่นี่ เห็นไหม

มาวัดมาวามาทำบุญกุศลของเรา ฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์ก็เรื่องความรู้สึกนึกคิดนี้ เรื่องในหัวใจของเรานี้ แล้วหัวใจของเราเวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ประเสริฐนะ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ศาสดาของเรา สิ่งนั้นมันสะอาดบริสุทธิ์มาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ โดยความชอบธรรมๆ กิเลสตายหมด กิเลสตายหมด เพราะพญามารเวลาไปเรียกร้อง ไปเรียกร้องลูกมาร ความโลภ ความโกรธ ความหลงไง “สมณโคดมจะหลุดจากมือเราไปแล้ว” คร่ำครวญร้องไห้

“พ่อไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะไปยั่วยวนเองไง”

ความโลภ ความโกรธ ความหลง นางตัณหา นางอรดีไง มายั่วยวนขนาดไหน แม้แต่พ่อยังไม่สนใจ ไปสนใจอะไรลูก ไอ้ลูกมันก็มีความคิดของมันไปอย่างนั้นน่ะ นี่เป็นธรรมาธิษฐาน เป็นบุคลาธิษฐาน เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนพวกเราเด็กน้อย เวลาจะสอนคนนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นอย่างไร ต้องเป็นบุคลาธิษฐาน เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้เราจับต้องได้

เวลาคนไปศึกษาธรรมะแล้วก็ “โอ๋ย! เป็นนิทาน มันไม่น่าเชื่อถือ”

ก็เอ็งไม่เคยภาวนา เพราะเอ็งไม่เคยศึกษา เวลาเอ็งศึกษา เขาไว้สอนเด็ก เขาไว้สอนคนที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ไง ให้เห็นว่ามันมีโทษอย่างนั้นไง แต่ที่ผู้ปฏิบัติเข้าไปมันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นกิเลส มันเป็นเนื้อใน เนื้อในที่มันพิจารณาไป “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้เลย” เยาะเย้ยมันอีกต่างหาก เหยียบย่ำมันแล้วยังเยาะเย้ยมัน ฆ่ามันไปแล้วนะ มันเข้ามาเกิดในใจนี้ไม่ได้เลย นี่เวลาคนจิตใจที่มันละเอียดลึกซึ้ง

ถ้าเราศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ตรัสรู้เองโดยชอบ ตรัสรู้เองโดยชอบในใจอันนั้นไง ทีนี้เราศึกษาธรรมะ ธรรมวินัยๆ มันมีคุณค่าๆ แต่มันมีคุณค่าต่อเมื่อมันเป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริงไง แต่นี้เป็นคุณค่ากับเรา แค่เป็นความจำนะ แค่เป็นความจำยังเป็นวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธเลย ความจำจำกันมาเป็นวัฒนธรรม เรากราบไหว้บูชากัน ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ววัฒนธรรมแต่ละพื้นถิ่นก็ไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกัน อยู่ที่ผู้นำเขาทำอย่างนั้นมา

แต่เอาข้อเท็จจริงสิ เราไปเห็นสิ่งใด เขาไม่ให้ดูถูกความเชื่อของกันและกัน ถ้าความเชื่อนะ แต่เวลาเราคุยธรรมะกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ เวลาเราคุยกัน วัฒนธรรมอย่างนั้น มีความเชื่ออย่างนั้นมันมาจากไหน มาแล้วเราก็สาธุเนาะ มันเป็นความเชื่อดั้งเดิมมาที่มันสะสมมาเป็นวัฒนธรรม เป็นชุมชนนั้น เราเห็นคุณค่าของเขา แต่เวลาจริงจังขึ้นมา ทุกคนทำความสงบของใจเข้ามา ทุกคนเวลาประพฤติปฏิบัติไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบอกพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ บริษัท ๔ ให้ปฏิบัติบูชาเราๆ” เพราะการปฏิบัติบูชามันเข้าถึงเนื้อหาสาระ ถึงข้อเท็จจริงไง เวลามันสุขมันทุกข์ในหัวใจ ที่มันสุขมันทุกข์ในหัวใจ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนบอกว่า เวลาตู้ยาในบ้านๆ เอาไว้ประดับบ้าน เอาไว้ประดับว่าฉันมีตู้ยา แต่ไม่เคยได้ใช้ได้สอยมันเลย เจ็บไข้ได้ป่วยก็ทนเอา

นี่ก็เหมือนกัน พอได้ยามาแล้วก็ฉลากยา อ่านเลย ยานี้คุณภาพขนาดไหน คุณภาพขนาดไหน แต่ไม่เคยใช้เคยสอยเลย ก็ไม่เคยได้รักษาโรคตัวเองเลย แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทนเอาๆ เพราะมันเป็นไข้เป็นหวัดมันก็หายของมันเอง

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษามาๆ ทฤษฎีทั้งนั้นน่ะ เวลาทฤษฎี ทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใช้แล้ว ท่านปราบกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของท่านจบสิ้นแล้ว ท่านเสวยวิมุตติสุข ท่านมีความสุข ความสงบ ความระงับของท่าน ท่านมีความสุขมาก มีความสุขจนปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

เวลาสมัยพุทธกาลกษัตริย์กุฎุมพีมาบวชเป็นพระๆ จะมาด้วยชุมชนใด มาด้วยชนชาติใด เวลาบวชมาแล้วเป็นพิราบขาวเหมือนกัน มาเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราศึกษาๆ มันมีคุณค่า แต่คุณค่าอย่างนั้นเราต้องทำให้เป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เราได้สัมผัสอันนั้น เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในใจของเรา ถ้าทำอย่างนี้ขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเราไง สิ่งที่เป็นประโยชน์ ฟังธรรมๆ ธรรมมันตอกย้ำเข้ามาที่หัวใจนี้

เวลาเป็นวัฒนธรรมประเพณีก็สาธุนะ เวลาในสังคม สังคมมันก็ต้องมีอย่างนี้ เวลารัฐบาล ถึงเวลาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ให้ทำบุญที่วัดใกล้บ้านนะ ให้ชาวพุทธได้ทำบุญกุศลของเรานะ นี่วัฒนธรรมของเรา รากเหง้าของเรา อย่าลืม ทำบุญที่วัดใกล้บ้านๆ ที่ไหนใกล้ก็ทำที่นั่น

นี่เวลาศึกษา รัฐบาลเขายังส่งเสริม ส่งเสริมเพราะอะไร ส่งเสริมให้ประชาชนมีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา พูดสิ่งใดเราก็เข้าใจกันได้ใช่ไหม คนเราหัวใจกว้างขวาง เวลาพูดกัน พูดกันด้วยเหตุด้วยผล เราไม่ใช่พูดกันเอาสีข้างเข้าถูไง ทุกคนวุฒิภาวะมันแตกต่างกัน เด็กและผู้ใหญ่พูดก็ไม่เหมือนกัน เด็กก็มีความรู้สึกของเด็ก มันไร้เดียงสาของมัน มันก็พูดตามปฏิภาณของมัน ผู้ใหญ่มันมีระยะสังคม มีสติมีปัญญา มีประสบการณ์ นี่ผู้ใหญ่

นี่ก็เหมือนกัน เด็กๆ เราก็ดูแลรักษาเขา เพื่อวัฒนธรรม เพื่อประเพณีของเรา เพื่อประเพณีของชาวพุทธเรา มีการทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลเพื่ออะไร ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจผ่องแผ้ว ทำบุญกุศลให้สะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจ ไม่ได้ทำบุญกุศลเพื่อสิ่งใด

สิ่งที่เราปรารถนานั้นมันอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียรของคน ดูสิ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร มันต้องมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องเหตุและผล มันต้องมีเหตุมีปัจจัย มันต้องมีที่มาที่ไป ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล มันจะเกิดขึ้นมาอย่างนี้ได้อย่างไร สิ่งที่มานั่งกันอยู่นี่มันมีเวรมีกรรมมาทั้งนั้นน่ะ เราเกิดร่วมกัน มีสายบุญสายกรรม ถ้าไม่มีสายบุญสายกรรมจะเกิดร่วมกันได้อย่างไร ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นญาติกันโดยธรรมๆ เราต้องมีธรรม มีความเห็นเสมอกัน เราถึงได้มาเห็นหน้ากัน เราถึงได้มาผูกพันกัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ผูกพันกันหรอก มันเห็นแล้วมันรับไม่ได้ มันแตกแยกกันไป นี่ผลของวัฏฏะๆ

วัฏฏะเหมือนกับสวะลอยมาในน้ำ มันมากระทบกันแล้วก็แยกกันไปตามกระแสน้ำ นี่ก็เหมือนกัน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ เรามาพบกัน เราทำอะไรต่อกัน เราจะเอาความผูกพันต่อกันทำคุณงามความดีต่อกัน หรือเราจะมาทำโทษต่อกัน มาทำความบาดหมางต่อกัน มาสร้างเวรสร้างกรรมกัน เราคิดสิ ถ้าจิตใจที่มันยิ่งใหญ่มันทำของมันอย่างนี้ มันเป็นประโยชน์ไง

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนนะ สอนคนที่มีสติสัมปชัญญะ เรื่องง่ายๆ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมต่อกัน ใครทำบาดหมางตัวเรา เรายังให้อภัยต่อเขา อโหสิกรรมต่อเขา ยังทำคุณงามความดีต่อเขานะ ทำบุญยังอุทิศให้เขาอีกต่างหากนะ นี่ไง ถ้าจิตใจมันยิ่งใหญ่ ทำสิ่งใดมันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นน่ะ ประโยชน์กับเราๆ เพราะทำแล้วมันผ่องแผ้ว ทำแล้วมันไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้น มันไม่มีสิ่งใดมากดดันในหัวใจของเราไง

ทีนี้เวลาหน้าที่เท่านั้นน่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด พูด ท่านพูดแต่ความจริงเท่านั้นน่ะ ตรงไปตรงมา แต่เวลาใจที่เป็นธรรมแล้ว สิ่งที่ตรงไปตรงมายังเมตตาอีกนะ เวลาสั่งสอนต้องเหตุต้องผล แต่เวลาเมตตา เราจะเจือจานเขาอย่างไร เราจะดูแลเขาอย่างไรเพื่อประโยชน์กับเขาไง เหมือนพ่อแม่ เราจะสอนลูกเราอย่างไร ลูกมันก็ทิฏฐิมานะไปตามวัยมันนั่นน่ะ เวลาโตขึ้นมาแล้วมันก็ทุกข์ยากเหมือนเรานี่แหละ

แต่ถ้าเราฝังไว้ ฝังไว้ ฝังวัฒนธรรมเรื่องสัจจะความจริงในใจของเขา เวลามันสะเทือนใจเขา มันจะหาที่พึ่ง คนเกิดมาแล้วมันต้องมีที่พึ่งที่อาศัย เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่งอาศัยของเรา เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา ทำได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง

พอทำได้แล้วนะ มันจะอหังการขนาดไหน องคุลิมาลฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ มีวิทยายุทธขนาดนั้น เวลาพระพุทธเจ้าเตือนนะ “เราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุด”

องคุลิมาลน่ะ ขนาดนั้นยังสยบ แล้วเวลาบรรลุธรรมขึ้นมา เขายิ่งใหญ่ขนาดไหน จิตใจเขาอำมหิตขนาดไหน เขาฆ่าคน ๙๙๙ ศพ แต่เวลาจะบวช เราต้องทำขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ให้มันเป็นจริงขึ้นมาในใจของเรา ให้มันประสบความสำเร็จในใจของเรา ไอ้ที่ว่าทิฏฐิมานะมันจะสูงส่งขนาดไหน ก็ทิฏฐิมานะมันถึงไม่รู้ธรรมไง เพราะมันมีกิเลสตัณหามันถึงทำไม่ได้ไง ถ้าเป็นธรรมขึ้นมามันก็จบไง พอจบแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์หลวงตาท่านบอกเลย รวมลงในใจของท่าน เป็นสัจจะความจริงในใจของท่าน เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ เอวัง